0

หลากหลายความเชื่อเกี่ยวกับแมว

แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่หลายบ้านมีไว้เลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา แต่ในทางความเชื่อโบราณแล้วแมวมีมากกว่าแค่คลายเหงาแต่จะเป็นอะไรบ้างนั้นมาดูพร้อมๆกันเลย

รก เป็นเครื่องสำหรับหล่อเลี้ยงชีวิตในครรภ์แนบอยู่กับมดลูก มีสายต่อกับสะดือลูกอ่อน เฉพาะรกของแมวชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นเครื่องรางนำโชค จึงนิยมเก็บรกไว้เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ดังนั้นในขณะที่แมวจะออกลูก เจ้าของมักคอยจดจ้องที่จะเอารกแมวให้ได้

ทั้งนี้โบราณท่านว่า ถ้าจะให้ได้ผลต้องมีพิธีกรรมตามขั้นตอนก่อน กล่าวคือ อันดับแรก เมื่อแมวมีอาการเหมือนจะออกลูกให้เจ้าของจัดเตรียมสถานที่ โดยจัดหาผ้าที่อ่อนนุ่มไว้ในบริเวณที่มิดชิด และแม่แมวคิดว่าปลอดภัย เมื่อเห็นแมวพอใจซึ่งสังเกตง่าย ๆ คือ แม่แมวจะทดลองนอนและจัดที่เกิดให้เข้าที่ ณ เวลานั้นให้เจ้าของนำปลาปิ้ง ซึ่งนิยมใช้ปลาตะเพียนใส่ภาชนะ บอกกล่าวแม่แมวเพื่อเอ่ยขอว่า

“…เอ่อหนี้เน้อ นางวิฬา กูมีสะเพียนปล๋า มาแลกเอาฮก ป๊กเจ้าแม่ป๊ก ฮกนางวิฬา…”

จากนั้น เฝ้าจับตาทุกขณะ เพราะแมวมักกินรกเสมอเมื่อลูกออกมา และเมื่อรกออกให้กล่าวทักทายรกว่า

“…ฮกเหยฮก บ่ป๊กแต่น้ำ ป๊กเงินป๊กฅำ ป๊กกอบก๋ำเข้า โภคา ธะนัง หลั่งไหลหาเจ้า วิฬาป๊กเอา ก่อก๊ำ…”

เมื่อได้รกแล้วนำไปตากแดดให้แห้งสนิท พอถึงวันแรม ๑๕ ค่ำ ให้นำมาเสกเป่าด้วยคาถาว่า

“พุทธ สัง มิ สัง สิ โม นา ธัมมะ สัง มิ โม นา สัง สิ สังฆะ สัง มิ สิ โม นา สัง พหุชะนานัง เอหิ จิตตัง เอหิ มะนุสสานัง เอหิ ลาภัง เอหิ สัพพะโภคัง ภะวันตุ เมฯ

เสกให้ครบ ๑๐๘ คาบ แล้วปิดทองให้ทั่ว เก็บไว้กับบ้านเรือนร้านค้า เชื่อว่าจะให้คุณทางเมตตามหานิยม ซื้อง่ายขายได้กำไร ประสบแต่โชคลาภอยู่เนือง ๆ

น้ำมนต์แมว
การบริโภคอาหารที่ปรุงจากปลา บางครั้งประสบปัญหาก้างติดคอ ทำให้ได้รับความทุกขเวทนา โบราณให้นำน้ำใส่ภาชนะไปวางเฉพาะหน้าแมว หากแมวกินน้ำหรือแม้กระทั่งดม ก็ถือได้ว่าน้ำนั้นเป็น “น้ำมนต์แมว” ให้นำไปให้คนที่ก้างติดคอดื่มกิน เชื่อกันว่าก้างจะหลุดไปกับน้ำนั้น เพราะโดยธรรมชาติของแมว มีความสามารถกินปลาเป็นพิเศษ ก้างจึงไม่ติดคอแมว

ก้างติดแมวเกา
มีอีกวิธีหนึ่ง กรณีที่ก้างติดคอ ท่านให้เอาเท้าหน้าของแมวลากผ่านลูกระเดือกเสมือนเอามือแมวมาเกา ก้างนั้นจะหลุดทันที

แมวซ่วยหน้า
อากัปกริยาของแมวอย่างหนึ่ง คือเอาเท้าหน้าข้างใดข้างหนึ่งปัดหน้า เหมือนมัน “ซ่วยหน้า” คือล้างหน้าตัวเอง ทายว่าไม่นานจะมีคนที่อยู่แดนไกลมาเยี่ยมเยือนเจ้าของบ้าน

แมววิ่งตัดหน้า
ขณะเดินทางไปไหนมาไหน หากมีแมวสีขาวหรือสีดำวิ่งตัดหน้ากะทันหัน ก็มีคำทำนายว่าจะดีหรือร้าย กล่าวคือ แมวขาววิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวดี แต่ถ้าแมวดำวิ่งตัดหน้าจะได้รับข่าวร้าย

แมวข้ามหล้อง
ในขณะที่ตั้งศพอยู่ที่บ้านหรือที่วัด ถ้ามีแมวสีดำกระโดดข้าม “หล้อง” คือโลงศพนั้น เชื่อว่าวิญญาณของคนที่ตายจะดุร้าย เที่ยวหลอกหลอนและทำร้ายผู้คนมากมาย

ฝันเห็นแมว
โบราณล้านนาเชื่อว่า ถ้าใครฝันเห็นแมวนั้นเป็นเรื่องไม่ค่อยดี จะขัดสนเงินทองทรัพย์สิน ญาติมิตรไม่ยินดีจะคบหาสมาคม มิหนำซ้ำยังพากันรังเกียจโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ

แห่นางแมว
ปีใดฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล โบราณจะมีพิธีแห่นางแมวเพื่อขอฝน โดยนำแมวตัวเมียมาแต่งหน้าทาปากนุ่งห่มเหมือนคนแล้วตั้งขบวนแห่แหนไปตามหมู่ บ้าน ผู้ชายที่ร่วมขบวนจะแต่งกายเป็นหญิงถือรูปอวัยวะเพศร่วมขบวน ส่วนคนที่พบเห็นจะสาดน้ำใส่กลุ่มผู้เข้าร่วมขบวน และรุมสาดน้ำใส่แมวอย่างคึกคะนอง ด้วยว่าการกระทำเช่นนี้ จะทำให้ฝนตก

ห้ามเลี้ยงแมวห้าตัว
ในตำราโบราณล้านนา กล่าวถึงสิ่งไม่ควรมีไว้กับบ้านเรือน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวระบุจำนวนไว้ ดังนี้

เอ โก มหิงสโก ควายตัวเดียว ติ โคโณ วัวสามตัว เทฺว ภริยา เมียสองคน ฉะ สุนขา หมาหกตัว จุต ทาสา คนใช้สี่คน ปัญฺจ มัชชารี แมวห้าตัว สัตตะ อาชา ม้าเจ็ดตัว อัฏฐ กุญชรา ช้างแปดเชือก เทฺว อาวุธา ดาบสองเล่ม เทฺว จ เกสี หญิงมีช้องเสียบผมสองอัน

ดังนั้นชาวล้านนา จึงไม่นิยมเลี้ยงแมวห้าตัว เพราะเกรงจะเกิดอุบัติภัยกับคนในครอบครัวตามความเชื่อ

อ่านเพิ่มเติม

0

ความเชื่อเกี่ยวกับแมวดำ

….. คนไทยเชื่อถือกันว่าหากมีแมวดำข้ามโลงศพ ศพนั้นจะเฮี้ยนนัก หรือแม้แต่มันเดินผ่านหน้าก็ถือว่าจะเป็นลางร้าย

ความผูกพันระหว่างคนกับแมวในลักษณะของความเชื่อมีมาแต่โบราณกาลแล้ว เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล แมวทุกตัวในสมัยนั้นรวมทั้งแมวดำจะได้รับการยกย่องมาก มีกฎคุ้มครองไม่ให้ผู้ใดทำร้ายหรือฆ่าแมว หากครอบครัวใดมีแมวตาย คนในครอบครัวนั้นจะเศร้าโศกมาก และสำหรับศพของมันไม่ว่าเจ้าของจะยากดีมีจนเพียงใดก็จะแต่งตัวให้แมวอย่าง สวยงาม ใช้ผ้าลินินเนื้อนุ่มห่อศพเอาไว้เหมือนมัมมี่แล้วเก็บในโลงที่ทำจากโลหะมี ค่าเช่น บรอนช์ หรือทำด้วยไม้ซึ่งเป็นของที่หายากมากในอียิปต์

เมื่อราว ๒,๐๐๐ ปี ก่อนมีข้อเขียนภาษาสันสกฤตพูดถึงบทบาทของแมวในสังคมอินเดีย ส่วนในจีนเมื่อราว ๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาลมีหลักฐานว่าขงจื๊อเลี้ยงแมวตัวโปรดอยู่ตัวหนึ่ง ประมาณ ค.ศ. ๖๐๐ นักพยากรณ์ชื่อ มูฮะมัด ท่องบทสวดพร้อมกับอุ้มแมวไว้ด้วยและในช่วงเดียวกันนี้ชาวญี่ปุ่นก็เริ่ม เลี้ยงแมวในสถูปเจดีย์เพื่อรักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนคนอียิปต์เมื่อเห็นแมวตกจากที่สูง ๆ แล้วไม่เป็นอะไรก็รู้สึกทึ่ง จึงเริ่มเชื่อกันว่าแมวมี ๙ ชีวิต อย่างไรก็ตามในระหว่างหลายศตวรรษนั้น หากแมวเดินผ่านหน้าใครก็ถือเป็นเรื่องโชคดีของคนนั้น

ความหวาดกลัวแมวโดยเฉพาะแมวดำเริ่มขึ้นที่ยุโรปในยุคกลาง ที่เห็นชัดเจนก็ในอังกฤษ

แมวมีนิสัยรักอิสระ ดื้อ ชอบขโมย และยังสามารถเพิ่มจำนวนพลเมืองแมวได้อย่างรวดเร็วตามเมืองใหญ่ ๆ ดังนั้นความงามสง่าของมันจึงดูลดน้อยลงในสายตาของผู้คน แมวที่พบเห็นอยู่ตามตรอกมักเลี้ยงกันในหมู่คนยากจนและหญิงชราที่ถูกทอดทิ้ง ต่อมาเมื่อความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เวทมนตร์ระบาดไปทั่วยุโรปหญิงชราไร้บ้าน เหล่านี้ถูกกล่าวหาว่าเล่นไสยศาสตร์ และแมว (โดยเฉพาะแมวดำ) เพื่อนยากของพวกเธอก็ถูกมองว่าเป็นพวกแม่มดหมอผีไปด้วย

ที่ประเทศอังกฤษมีนิทานพื้นเมืองเกี่ยวกับแมวเรื่องหนึ่งสะท้อนความคิดของคน ในสมัยนั้นได้ดี เรื่องมีอยู่ว่าที่เมืองลินคอล์นไชร์ เมื่อทศวรรษ ๑๕๖๐-๑๕๖๙ ในคืนเดือนมืดคืนหนึ่งสองพ่อลูกเห็นสิ่งที่มีชีวิตขนาดเล็กเดินย่องผ่านหน้า พวกเขา ลอดเข้าไปในช่องเตี้ย ๆ ด้วยความกลัวจึงขว้างก้อนหินออกไป ก็ปรากฏว่ามีแมวดำบาดเจ็บโผล่ออกมา แล้วเดินกะเผลกไปบ้านข้าง ๆ ซึ่งเป็นบ้านของผู้หญิงที่คนทั้งเมืองสงสัยว่าเป็นแม่มด วันต่อมาพ่อลูกคู่นี้ก็พบหญิงคนนี้เดินอยู่ ใบหน้าของเธอมีแผลเป็นรอยถลอก และมีผ้าพันแขนเอาไว้ เวลาเดินขาก็กะเผลก ๆ จากวันนั้นเป็นต้นมาชาวเมืองลินคอล์นไชร์จึงพากันระแวงว่าแมวดำคือแม่มดที่ แปลงตัวมาในยามค่ำคืน

ปลายสมัยกลางมีหลายประเทศที่พยายามจะทำลายแมวให้สูญพันธุ์ เพราะโรคกลัวแม่มดระบาดไปทั่ว หญิงที่ไม่มีความผิดและสัตว์เลี้ยงน่าเอ็นดูที่ไม่มีพิษภัยถูกเผาตายเป็น จำนวนมาก แม้เด็กทารกที่เกิดมาแล้วมีดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าเจ้าเล่ห์เกินไปมีบุคลิกแก่แดดเกินไป ก็จะถูกสังเวยความกลัวนี้ เพราะเชื่อว่าแกมีวิญญาณสิงอยู่และจะเติบโตเป็นแม่มดหรือพ่อมดซึ่งกลายร่าง เป็นแมวดำในตอนกลางคืน ที่ฝรั่งเศส แต่ละเดือนแมวหลายพันตัวถูกเผา จนทศวรรษ ๑๖๓๐-๑๖๓๙ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๘ จึงทรงสั่งให้หยุดการกระทำอันน่าอดสูนี้

แม้แมวดำจะถูกฆ่าทิ้งไปเป็นจำนวนมากทั่วทั้งยุโรปเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่น่าแปลกที่พันธุกรรมของขนแมวสีดำกลับไม่เคยถูกลบเลือนไปจากเผ่าพันธุ์ของ มัน… หรือแมวจะมี ๙ ชีวิตจริง ๆ

“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”

ที่มา:http://blog.eduzones.com/poonpreecha/82382

0

เผย 9 ความลับเรื่องแมวที่คุณอาจไม่เคยรู้

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

แมว เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมาย และถูกเล่าต่อกันมาจนกลายเป็นความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ หรือนิสัยของแมวบางอย่างที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ หลาย ๆ คนอยากรู้ว่า สัตว์ที่ดูนิ่งเงียบ ลักษณะท่วงท่าการเดินที่สง่างามเหล่านี้ มีความลับอะไรที่เจ้าของอย่างเรา ๆ ยังไม่รู้อีกหรือไม่ วันนี้เราก็เลยนำความลับของแมวมาเปิดเผยกันค่ะ 

1. เชื่อว่าแมวจะขโมยลมหายใจของทารก

จริง ๆ แล้วแมวไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ กับทารกของคุณหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าพวกมันชอบหาที่อบอุ่น ๆ และสบาย ๆ นอน ซึ่งลมหายใจของทารกเป็นอุณหภูมิที่แมวต้องการพอดี ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แมวชอบเข้าไปคลุกคลีกับทารกบ่อย ๆ เท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้คุณก็ไม่ควรให้แมวเข้าใกล้ทารกของคุณมากเกินไปเพราะเด็กอาจจะติดเชื้อโรค หรืออาจจะทำให้ทารกเกิดภูมิแพ้ได้

 2. เชื่อว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรเลี้ยงแมว

จริง ๆ แล้วผู้หญิงที่ตั้งครรภ์นั้นไม่ควรสัมผัสตัวแมว หรือทำอะไรเกี่ยวกับแมวบ่อยนัก เพราะอาจจะทีโอกาสติดเชื้อท็อกโซพลาสโมซิสจากแมวได้ โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนแรก ซึ่งหากทารกติดเชื้ออาจจะเกิดอาการสมองบวมน้ำ ประสาทตาอักเสบ หรืออารมณ์ผิดปกติ ฉะนั้นหญิงตั้งครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวแมว และของใช้ที่เกี่ยวกับแมวทั้งหมดดีกว่า

 3. เชื่อว่าแมวดำคือสัญลักษณ์ของความโชคร้าย 

จากผลการสำรวจผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ในปี 2000 พบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสแมวขอสีดำ หรือแมวขนสีเข้มมากกว่าแมวขนสีอ่อน ๆ ถึง 4 เท่า นั่นเป็นเพราะว่าตามผิวหนัง และในน้ำลายของพวกแมวขนสีดำ หรือแมวขนสีเข้มมีสารสำคัญในการก่อภูมิแพ้ที่เรียกว่า Fel.d1 สะสมอยู่มากกว่าแมวขนสีอ่อน ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้หลาย ๆ คนเชื่อว่าแมวดำจะความโชคร้ายมาให้นั่นเอง

 4. เชื่อว่าแมวมี 9 ชีวิต 

ความเชื่อที่ว่าแมว มี 9 ชีวิตนั้นถูกเล่าขานเป็นตำนานกันออกไปต่าง ๆ นานาทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศแถบยุโรป เอเชีย อเมริกา หรือแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ที่นับถือว่า แมวเป็นตัวแทนของเทพเจ้าเลยทีเดียว เหตุที่ทำให้ผู้คนต่างคิดว่าแมวมี 9 ชีวิตอาจจะเนื่องมาจากว่า ลำตัวของแมวมีความยืดหยุ่นสูง จึงทำให้สามารถกระโดดจากที่สูงได้โดยไม่บาดเจ็บ และแมวก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยอยู่กับผู้คนเท่านั้นเอง

 5. เชื่อว่าแมวสามารถลงพื้นได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง 

ถึงแม้แมวจะมีร่างกายที่ยืดหยุ่นสูง แต่ก็ใช่ว่าพวกมันจะกระโดดลงจากที่สูงลงมาได้อย่างปลอดภัยเสมอไป เพราะแมวก็มีสิทธิ์พลาด และพลั้งเผลอตกลงมาได้เช่นกัน ดังนั้นในบางครั้งแมวก็มีโอกาสเกิดบาดแผล และเกิดอาการบาดเจ็บได้เช่นกัน

 6. เชื่อว่าเสียงครางหมายถึงแมวกำลังมีความสุข 

เสียงครางเป็นเสียงแรกที่แมวสามารถทำได้ ตั้งแต่อายุน้อย เพราะในขณะนั้นพวกมันไม่สามารถทำเสียงสูง หรือเสียงต่ำได้ จึงทำให้คุณได้ยินเสียงครางบ่อย ๆ และเข้าใจว่าแมวกำลังมีความสุข ฉะนั้นเสียงครางจึงไม่ได้หมายความว่าพวกมันกำลังมีความสุขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจจะกำลังสื่อสารให้คุณรู้ว่าพวกมันกำลังป่วย หรือบาดเจ็บอยู่ก็เป็นได้

 7. เชื่อว่าแมวไม่ชอบน้ำ 

ก็ใช่ว่าแมวทุกตัวจะกลัว หรือไม่ชอบน้ำเสมอไปหรอกนะคะ เพราะแมวบางตัวก็ชอบเล่นน้ำเหมือนกัน อย่างเช่นแมวสายพันธุ์ เตอร์กิชแวน ที่รักการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ จนได้รับฉายาว่า “Swimming cat” เลยทีเดียว แต่ที่เราเห็นว่าแมวเลี้ยงส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใกล้จุดที่มีแหล่งน้ำสักเท่าไหร่ ก็เพราะแมวคิดว่ามันไม่คุ้มกับการที่จะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเปียก เพื่อแลกกับปลาตัวเล็ก ๆ ในสระ ทั้ง ๆ ที่มีอาหารจานใหญ่รออยู่ตรงหน้าแล้วนั่นเอง

 8. เชื่อว่าแมวเป็นสัตว์หากินกลางคืน 

นั่นเป็นเพราะสายตาของแมวสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านแสงสว่างน้อย ๆ หรือความมืดในกลางคืนได้ดีกว่าแสงสว่างในตอนกลางวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาโพล้เพล้ หรือใกล้ค่ำ จะเป็นเวลาที่เหมาะกับการล่าเหยื่อมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าแมวจะสามารถมองเห็นแม้ในที่มืดสนิทได้หรอกนะ

 9. เชื่อว่าแมวชอบความสันโดษ 

ถึงแม้แมวจะได้อยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ๆ แต่พวกมันก็จะอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน หรือบริเวณใกล้ ๆ กับแหล่งอาหารของพวกมันนั่นเอง โดยเฉพาะแมวเพศผู้ที่มีอายุประมาณ 18 เดือนขึ้นไป ก็จะออกไปหากินตัวเดียวมากกว่าแมวเพศเมีย ดังนั้นหากคุณไม่อยากให้แมวที่คุณเลี้ยงหนีออกไปอยู่นอกบ้าน ก็ควรจะเลี้ยงแมวตั้งแต่พวกมันอายุ 8 – 10 เดือน และควรเลี้ยงสองตัวขึ้นไป ก็จะทำให้พวกมันมีนิสัยอยู่ติดบ้านมากกว่า เลี้ยงแมวมีอายุ หรือเลี้ยงแมวแค่เพียงตัวเดียว

หลังจากที่เรานำคำตอบมาเฉลยกันแล้ว ก็อุ่นใจขึ้นได้แล้วใช่ไหมคะว่าแมวเป็นแค่สัตว์เลี้ยงตัวเล็ก ๆ ตาใส ๆ เท่านั้นไม่ได้มีพิษสง หรือซ่อนความลึกลับอะไรเอาไว้เลย ต่อไปหากกำลังคิดจะเลี้ยงสัตว์กัน ก็น่าจะมีแมวน่ารัก ๆ เอาไว้ที่บ้านสักตัวนะคะ

ที่มา:http://pet.kapook.com/view50345.html

0

10 นิสัย..แมวบอก..ว่ารัก

วิธีการที่แมวจะบอกรักคุณนั้นมีดังนี้ …

1. กระโดดนั้งตักคุณ แล้วก็ใช้หน้าถูกับตัวคุณ แมวส่วนใหญ่มักจะแสดงออกแบบนี้ เรียกว่าเป็นการแสดงออกแบบสากลก็ว่าได้

2. ส่งเสียงร้องเรียกคุณ “เมี้ยว เมี้ยว” เบา ๆ แล้วก็ทำหน้าอ้อน ๆ ทำตาหวานใส่แมวที่เรียบร้อยมักจะเป็นแบบนี้

3. กัดที่หน้าแข้ง หรือข้อศอกเบา ๆ เจ้าของบางคนจะไม่ชอบ และเข้าใจผิดว่าแมวดุ แต่จริง ๆ
แล้วเป็นการแสดงความรักของแมวระดับจ่าฝูงก็ว่าได้ เพราะพวกนี้จะอ้อนไม่ค่อยเป็น

4. นวดหลัง บางครั้งเมื่อคุณนอนอยู่จะเห็นว่าแมวจะขึ้นไปเดิน หรือเหยียบหลังคุณ
ถ้าหากคุณรู้สึกพอใจมันก็จะทำบ่อย ๆเพื่อให้คุณสบาย แมวพวกนี้จัดเป็นพวกไอคิวสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

5. หอมแก้ม บางครั้งเวลาอุ้มแมวจะถูกแมวหอมแก้ม อันนั้นมันบอกว่า ” รักคุณมากเลยหล่ะ ”

6. แมวใช้เท้าหน้าลูบหน้าคุณ หรือตบที่หน้าเบา ๆ
ลักษณะนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกเวลาคุณลูบหน้าคนที่คุณรักนั่นแหละ

7. ลูบหน้า แล้วก็ร้อง ๆ เบา ๆ มันบอกคุณว่า ” รักเจ้านายมากที่สุดในโลกเลย ”

8. แมวเอาตัวมาถูที่ขา แรง ๆ แล้วก็ร้องดัง ๆ อันนี้เป็นการแสดงออกว่ารัก ของแมวประเภทหัวโจกชอบโวยวาย

9. กระโดดเกาะที่หลังเวลาเจ้าของนั่งลง แมวขี้เล่น หรือแมวที่ซุกซน หรือแมวเด็ก ๆ
มักจะแสดงออกแบบนี้ก็เหมือนกับเวลาที่ตอนคุณเด็ก ๆ คุณก็อยากให้พ่อ อุ้มหลังขึ้นเหมือนกัน

10. มานอนซุกคุณเวลาคุณนอนหลับ อันนี้แสดงว่ารักมาก อยากอยู่ด้วยตลอดเวลา แม้เวลาจะนอนหลับ

ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view/544324/

0

ภาษาแมว

farmthaionline.com

               แมวใช้การสื่อสารติดต่อระหว่างพวกด้วยกันหลายรูปแบบ  เช่น  การใช้กลิ่น  การใช้เสียงและการใช้ท่าทางซึ่งเริ่มต้นเมื่ออายุได้ 3
ถึง 4 อาทิตย์  การใช้กลิ่นของแมวก็ได้แก่กลิ่นข้างต่อมปัสสาวะ  กลิ่นเหงื่อ  และต่อมตามตัวที่อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม  คาง  เท้า  และโคนหาง  กลิ่นเหล่านี้ทำให้แมวจำกันได้ว่าตัวใดเป็นตัวใด  บอกขอบเขตถิ่นที่อยู่  เราจะพบเห็นเสมอว่า เมื่อแมวสองตัวมาเจอกันจะมักทักท้ายด้วยการเอาจมูกมาชนกันสูดดมซึ่งกันและ กัน  การถูสัมผัสกับแมวอื่นโดยใช้หัว  คาง  สีข้างแก้ม  ตลอดจนการใช้ลำตัวไปถูใต้คางของอีกตัวหนึ่งก็เป็นการสื่อสารแบบหนึ่งด้วย

พฤติกรรมอย่างอื่นของแมว เช่น การหาว เป็นการบ่งบอกว่ามันกำลังรู้สึกสบาย ๆ ไม่ใช่เกิดจากการง่วงนอนแบบเดียวกับคนเรา  ส่วนเสียงร้องเหมียว ๆ มักจะเป็นสัญญาณที่แสดงความไม่พอใจ  ไม่มีความสุข  เช่น  ลูกแมวที่กำลังหนาวหรือถูกทอดทิ้งอยู่ตามลำพัง  เสียงร้องยังเป็นเสียงเรียกคู่เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์  โดยเฉพาะแมวตัวผู้จะร้องเสียงดังมากในช่วงนี้

เรียบเรียงโดย  : farmthaionline.com
ข้อมูลจาก : การเลี้ยวแมว (บัณฑิตย์ สุริยพันธ์)
ภาพประกอบจาก    : อินเตอร์เน็ต

ที่มา:http://www.farmthaionline.com/Article.aspx?Article=%C0%D2%C9%D2%E1%C1%C7&ATID=5&AID=44

0

กริยาท่าทาง

farmthaionline.com

               กริยาท่าทางการแสดงออกของ แมวล้วนมีความหมายเป็นการสื่อสารให้แมวด้วยกันเข้าใจกันได้  ไม่ว่าจะเป็นกริยาที่แสดงออกทางใบหน้า  ลำตัว  หู  หรือหาง

หู  :  เป็นจุดที่ไวมาก  หูจะถูกยกยื่นไปข้างหลัง  เป็นการเตือนที่จะจู่โจมศัตรู  ในกรณีที่หูโค้งกลับและถูกดึงให้ต่ำลงข้าง ๆ เป็นสัญญาณของการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู้

หนวด  :  ให้ดูจากตำแหน่งการกระจายของหนวด  ถ้าหนวดแผ่ออก  แมวกำลังเครียดหรือสนใจอะไรบางอย่าง  แต่ถ้าหนวดดูลาดและรวบไว้ข้างแก้มแมวจะอยู่ในอารมณ์ที่สงวนท่าทีหรืออาย  และถ้าหนวดไปอยู่ด้านหลังเป็นพุ่ม  แสดงถึงความสบายใจ

ลูก ตาดำ  :  ม่านตาที่หดเล็กลงจะแสดงถึงความตึงเครียดหรือสนใจอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดมาก เป็นพิเศษ  ในกรณีที่ม่านตาเปิดกว้าง  แสดงถึงความประหลาดใจ  กลัวหรือเตรียมพร้อมเพื่อป้องกันตัว

หัว  :  เมื่อแมวสองตัวที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและมาเผชิญหน้าจะติดต่อทำความรู้จัก กัน  โดยการยึดหัวที่ตั้งตรงไปข้างหน้า  และเมื่อตัวใดตัวหนึ่งรู้สึกเด่นกว่าจะเชิดหัวสูงขึ้นไปอีก  ส่วนตัวที่รู้สึกตัวว่าด้อยกว่าจะก้มหัวต่ำลง

ลำตัว  :  ถ้าลำตัวยืดตรง  แสดงถึงความมั่นใจและพร้อมที่จะจู่โจมศัตรู  ในกรณีที่ลำตัวโค้งงอหรือหลังโก่งแสดงถึงว่าแมวกลัวและพร้อมที่จะจู่โจมได้ ทันที

ขน  :  เมื่อแมวอยู่ในภาวะกำลังกลัวขนจะตั้งชันทั้งลำตัว  ในกรณีที่ขู่หรือเตรียมตะปบเหยื่อ  ขนจะตั้งขึ้นเพียงเล็กน้อยตามส่วนที่ยื่นออกมาจากลำตัวและหาง

หาง  :  หางเป็นเครื่องบ่งบอกอารมณ์ของแมวได้เป็นอย่างดี  ถ้าหางเคลื่อนไหวเป็นเคลื่อนและสะบัดจากทางหนึ่งไปยังอีกทางหนึ่งแสดงถึง ความรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เมื่อแมวต้องการแสดงความเป็นมิตรหรือยินดีต้อนรับแมวตัวอื่นแมวจะยกหางขึ้น และจะเข้าไปดมก้นของอีกตัวหนึ่ง  แต่ถ้าแมวสะบัดหางขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงถึงการขู่และพร้อมที่จะจู่โจม

เรียบเรียงโดย  : farmthaionline.com
ข้อมูลจาก : การเลี้ยวแมว (บัณฑิตย์ สุริยพันธ์)
ภาพประกอบจาก    : อินเตอร์เน็ต

ที่มา:http://www.farmthaionline.com/Article.aspx?Article=%A1%C3%D4%C2%D2%B7%E8%D2%B7%D2%A7&ATID=5&AID=45

0

ประสาทสัมผัส

                       แมวเป็นสัตว์ที่มี การเคลื่อนไหวตัวโดยให้น้ำหนักทุกส่วนอยู่บริเวณอุ้งฝ่าเท้า  เพื่อให้การทรงตัวเกิดความสมดุลย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ข้อเท้า ขา  และช่วงหลังของแมวมีความสามารถโค้งงอได้เสมอ  โครงสร้างกระดูกสันหลังและระหว่างนิ้วเท้าถึง 4 ข้าง ที่ข้อนิ้วเท้าจะเชื่อมติดกับอุ้งฝ่าเท้า  นอกจากนี้บริเวณศีรษะก็สามารถหมุนพลิกไปด้านหลังได้ดีอีกด้วย  องค์ประกอบโครงสร้างของกระดูกสันหลังจะเชื่อมโยงสู่ส่วนต่าง ๆของกล้ามเนื้อ  กลายเป็นแหล่งกำลังสะสมไว้มากมาย  บริเวณพื้นที่ของกระดูกเชิงกรานและขาหลังจะมีความแข็งแรงและแกร่งมากเป็น พิเศษ  เราจึงเห็นแมวมีความสามารถกระโดดได้อย่างวิเศษสุดในบรรดาสัตว์สี่เท้าด้วย กัน  ช่วงคอและไหล่ของแมวจะมีกล้ามเนื้อช่วยให้ล่าจับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ

ในส่วนระบบความควบคุมสมองของแมวที่เกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อหรืออวัยวะส่วน อื่น ๆ จะมีความสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก  สิ่งเหล่านี้ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดีเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยง เข้าสู่ระบบประสาท  และระบบการรับรู้ของความรู้สึก  ส่วนระบบของอวัยวะที่มีหน้าที่รับรู้ความรู้สึกและการตอบสนองจะเกิดความ ผันแปรทางอารมณ์ได้ง่ายและไวมาก  แมวจึงเป็นสัตว์ที่จะสังเกตหรือสำรวจในสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นต่อปัจจัยนั้น ๆ ได้รวดเร็วโดยปกติแล้วแมวจะมีระบบการรับรู้ได้ไกลที่เก่งกว่าคน  ขณะเดียวกันความรู้สึกของการรับรู้จะมีความสัมพันธ์กับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วยดังนั้นแมวจึงคอยหลบหลีกศัตรูให้รอดพ้นจากการถูกล่าเป็นเหยื่อของสัตว์ อื่นได้อย่างแคล่วคล่อง  เพราะคุณสมบัติของการรับร็ที่ดีเลิศในตัวแมวมันจึงเตรียมพร้อมทางร่างกายสู่ การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  ใครที่คิดจะจับหรือล่าแมวจึงมิใช่เรื่องง่ายดายเลยหากมันไม่ยอมเล่นด้วย

หนึ่งในความเชื่อโดยทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับแมวคือ  แมวที่กำลังตกลงมาจากที่หนึ่งที่ใดทรงตัวได้  แม้ว่ามันจะตกลงมาในลักษณะกลิ้งลงมา  นับว่าโชคดีสำหรับแมวเพราะว่าเป็นความจริง  ความสามารถของแมวที่จะทรงตัวกลางอากาศนั้น  คำตอบอยู่ที่กระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่นได้  เมื่อแมวรู้สึกว่ากำลังตกลงมา  สิ่งแรกที่มันทำคือการบิดหลังจนกระทั่งหัวและขาของมันชี้สู่พื้นจากนั้นมัน ก็ตวัดหางของมันขึ้น  เพื่อช่วยหมุนลำตัวด้านหลังกลับมาอย่างเดิม  ในที่สุดแมวจะแผ่ขาทั้ง 4 ขาลงสู่พื้นเพื่อรองรับความตกใจ
เพราะว่าแมว มีความสามารถแบบนี้  คนจึงเข้าใจว่าแมวสามารถตกจากที่สูงและไม่เจ็บ  บางคนเชื่อว่าแมวมีการรักษาสมดุลที่ดี  แต่ความอยากรู้อยากเห็นของมันบางครั้งก็พามันไปสู่สถานที่ ๆ มีอันตราย  เช่น หลังคาบ้านหรือของหน้าต่าง เพราะการลื่นไถลเพียง 1 ครั้ง  ก็คงหมายถึงความโชคร้ายและการทรงตัวด้วยขาทั้ง 4 ข้างก็ไม่อาจช่วยอะไรได้เมื่อแมวนั้นตกมาจากชั้นที่สูง ๆ

เรียบเรียงโดย  : farmthaionline.com
ข้อมูลจาก : การเลี้ยวแมว (บัณฑิตย์ สุริยพันธ์)
ภาพประกอบจาก    : อินเตอร์เน็ต

ที่มา:http://www.farmthaionline.com/Article.aspx?Article=%BB%C3%D0%CA%D2%B7%CA%D1%C1%BC%D1%CA&ATID=5&AID=47

0

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว หรือ Feline Immunodeficiency Virus (FIV)

โรค FIV ไม่รุนแรงเท่ากับโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวในแมว (หรือ FeLV) และไม่เกี่ยวข้องกับเนื้องอก โรคนี้มีระยะการฟักตัวนาน จึงรุนแรงถึงเสียชีวิตในขั้นสุดท้ายของโรคเหมือนโรค FeLV
อาการบ่งชี้ของโรค FIV ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ประกอบด้วย
–  มีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลายประเภท (เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง)
–  มีอาการเลือดจาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งของไขกระดูก
การติดต่อ
โรค FIV ติดต่อหลัก ๆ ทางน้ำลาย การกัดเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดในการติดเชื้อนี้ เป็นเหตุให้แมวตัวผู้ ซึ่งชอบต่อสู้มากกว่าตัวเมีย มีโอกาสติดเชื้อนี้สูงกว่าตัวเมียถึงสามเท่า

ที่มา:http://www.ntsfarm.com/article/โรคต่าง-ๆ-ในแมว

0

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ หรือ Upper Respiratory Tract (URT) Infections

โรค URT อาจทำให้อวัยะหลายแห่งมีอาการติดเชื้อรุนแรง เชื้อไวรัส Reovirus มักเป็นต้นเหตุของการอับเสบเล็กน้อยที่ตาเท่านั้น ขณะที่เชื้อ Chlamydia ซึ่งอยู่ในตระกูลแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบอย่างมาก ซึ่งเป็นปฏิกิริยาต่อยาหยอดตาปฏิชีวนะ ทั้งนี้เชื้อไวรัส Calicivirus (Calici) และ Rhinortacheitis virus คือ สาเหตุของอาการรุนแรงที่สุดขแงการติดเชื้อ URT
แมวอาจทุเลาจากการติด เชื้อไวรัส calici หรือการอักเสบของจมูกและหลอดลม แต่จะกลายเป็น “พาหะเงียบ” นำเชื้อไปติดแมวตัวอื่นได้ ทั้งนี้การอักเสบของจมูกและหลอดลม เกิดจากไวรัสตระกูล herpesvirus ซึ่งจะฟื้นตัวได้ไหมในภาวะที่ร่างกายและจิตใจตึงเครียด
การติดเชื้อไวรัส Calicivirus และการอักเสบของจมูกและหลอดลมมีอาการดังนี้
–  จาม และมักมีขี้มูกหนา
–  ตาเยิ้มและมีขี้ตาเหนียว
–  มีแผลเปื่อยและแผลขนาดเล็กในปาก
–  มีไข้
–  อยากอาหารลดลง พร้อมกับสูญเสียการดมกลิ่น
–  มีแผลเปื่อยที่ตา (เป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส Rhinotracheitis virus)
–  เซื่องซึม และข้อต่อบวมในลูกแมว (เป็นผลจากการติดเชื้อไวรัส calicivirus)
การติดต่อ
– ไวรัส Herpesvirus ไม่แพร่กระจายในอากาศ แต่ติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแมวที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือของเสียที่ขับออกจากร่างกายของแมวที่ติดเชื้อ
– ไวรัสชนิดนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในอุณหภูมิห้องได้นานหนึ่งเดือน
– ไวรัส Calicivirus ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงกับแมวที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสสิ่งที่เปื้อนสารคัดหลั่งหรือของเสียที่ขับออกจากร่างกายของ แมวที่ติดเชื้อ และยังฟุ้งกระจายไปในอากาศได้ด้วย
– ไวรัส Chlamydia ติดต่อผ่านสารคัดหลั่งของแมวที่ติดเชื้อ เช่น น้ำตาและน้ำลาย ส่วนแบคทีเรีย Bordetella ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อ URT ในสุนัข สามารถติดต่อจากสุนัขที่ติดเชื้อไปสู่แมวได้ผ่านเชื้อที่ฟุ้งกระจายในอากาศ

ที่มา:http://www.ntsfarm.com/article/โรคต่าง-ๆ-ในแมว

0

โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาวในแมว หรือ Feline Leukaemia Virus (FeLV) โรค FeLV

มีระยะฟักตัวค่อนข้างนานหลายปี และมักจะลุกลามจนถึงขึ้นคุกคามชีวิตในการติดเชื้อระยะสุดท้าย
อาการบ่งชี้ของโรค FeLV ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ประกอบด้วย 
–  มีพัฒนาการของเซลล์มะเร็งในเม็ดเลือดขาว เช่น มีเนื้องอกร้ายของต่อมน้ำเหลือง
–  มีอาการแทรกซ้อนจากการติดเชื้อหลายประเภท (เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันถูกยับยั้ง)
–  มีสภาวะเลือดจาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการยับยั้งของไขกระดูก
การติดต่อ
เชื้อ ไวรัส FeLV ติดต่อผ่านน้ำลาย ปัสสาวะ และสารคัดหลั่งอื่น ๆ ของแมวที่ติดเชื้อ ที่บ่อยที่สุดคือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกตั้งแต่แรกเกิด โรค FeLV อาจติดต่อผ่านการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับแมวที่ติดเชื้อนี้ รวมทั้งผ่านชามอาหาร ชามน้ำ และถาดรองมูลของแมวที่ติดเชื้อ

ที่มา:http://www.ntsfarm.com/article/โรคต่าง-ๆ-ในแมว